สุขศึกษา

ความขัดแย้งระหว่างเพศ

    ความขัดแย้งระหว่างเพศ คือ ความไม่เห็นพ้องต้องกัน ควานไม่ลงรอยกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ และค่านิยมที่แตกต่างกัน อาจเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ทุกรุปแบบ เช่น เพื่อนร่วมงาน เจ้านายกับลูกน้อง เพื่อน คนรัก สามีภรรยา เป็นต้น เนื่องจากในสังคมทุกคนล้วนต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพศชายและหญิงซึ่งมีความแตกต่างทางกายภาพเป็นพื้นฐานย่อมถูกเลี้ยงดูและอยุ่บนความคาดหวังของสังคมที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ปกติที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้น

สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างเพศ

    1. ทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมที่สังคมปลูกฝัง        
       กำหนดว่าผู้ชายเป็นอย่างไรและผู้หญิงเป็นอย่างไร เช่น ผู้หญิงชอบการแสดงความรู้สึก ผู้ชายชอบเก็บความรู้สึก ผู้ชายต้องเข้มแข็ง ผู้หญิงต้องอยุ่กับเหย้าเฝ้าเรือน ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง  เป็นต้น  ทัศนคติและค่านิยมต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดภาพแทนของผู้ชายและผู้หญิงที่ควรจะเป็น หากแต่ละฝ่ายแสดงออกหรือมีพฤติกรรมที่ผิดไปจากค่านิยมเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ เช่น ปัญหาระหว่างเจ้านายที่เป็นผู้หญิงกับลูกน้องที่เป็นผู้ชาย เนื่องจากค่านิยมของสังคมไทย ยังคงมีความคิดว่าผู้ชายต้องเก่งกว่าผู้หญิงอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงกว่า อาจทำให้ลูกน้องที่เป็นผู้ชายไม่พอใจ และกลายเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งต่อไปได้

    2. ความต้องการที่แตกต่างกัน       
    ด้วยพื้นฐานความคิดที่แตกต่างกัน ทำให้คนเรามีความต้องการที่แตกต่างไปด้วย ในความสัมพันธ์แบบคนรักหรือสามีภรรยา บางครั้งความต้องการที่แตกต่างกันในเรื่องเล็กน้อยก็อาจเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งได้ เช่น สามีอาจต้องการให้ภรรยาอยู่บ้าน เลี้ยงลูก ตามแบบภรรยาในอุดมคติ แต่ภรรยาอาจต้องการออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว เป็นต้น

    3. ความคาดหวังที่มีต่อเพศตรงข้าม           
    เนื่องจากทัศนคติและค่านิยมของสังคมได้กำหนดภาพของผู้ชายและผู้หญิงที่ควรจะเป็นเอาไว้ ดังนั้นเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะร่วมงาน เป็นเพื่อนกัน ศึกษาคบหาดูใจกัน หรือใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ละฝ่ายย่อมมีความคาดหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นไปแบบที่ตนคิด เป็นไปในตามกรอบที่สังคมกำหนด เช่น ผู้ชายคาดหวังว่าผู้หญิงที่ดีควรจะเรียบร้อย ทำอาหารเป็น ในขณะผู้ชายที่ดีควรจะเอาใจใส่ผู้หญิง ช่วยถือของ แต่ในความเป็นจริงทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือหญิง ก็ไม่สามารถเป้นอย่างที่เราคาดหวังได้

    4. การไม่เข้าใจความต้องการ และความแตกต่างของเพศตรงข้าม
      นื่องจากทุกคนมีความแตกต่างกันทั้งความคิด อุปนิสัยใจคอ และพฤติกรรม หากเราไม่พยายามทำความเข้าใจความต้องการ ไม่พยายามสื่อออกมา หรือเข้าใจผิดก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้ เช่น วันครบรอบแต่งงานคู่รักหลายๆคู่ มักจะทะเลาะกันเนื่องจากผู้ชายจำวันครบรอบไม่ได้ทำให้ผู้หญิงเสียใจเพราะโดยธรรมชาติผู้ชายจะไม่ใส่ใจรายละเอียดเท่ากับผู้หญิง ดังนั้นการที่ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจธรรมชาติของอีกฝ่ายย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งนี้ขึ้นได้ จะเห็นได้ว่าสาเหตุของความขัดแย้งนั้นไม่อาจแยกออกจากกันได้  แต่จะส่งผลกันเป็นทอดๆ จากค่านิยมที่สังคมปลูกฝังให้เกิดทัศนคติต่อเพศตรงข้าม


แนวทางการป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งในเรื่องเพศ 

      1. ทักษะการเข้าใจผู้อื่น
         พยายามเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของเพศตรงข้าม เนื่องจากเพศชายและหญิงมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน ถูกเลี้ยงดุมาในกรอบที่แตกต่างกัน เมื่อต้องมาอยู่ร่วมกัน ย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา
      2. ทักษะการตระหนักรู้ในตน
      สำหรับประเด็นเรื่องเพศสัมพันธ์นั้น วัยรุ่นควรตระหนักว่าเราอยู่ในสังคมไทย ดังนั้นจึงปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบจารีตประเพณีของสังคมไทย ทำความเข้าใจ รู้เท่าทันค่านิยม และวัฒนธรรมต่างชาติที่ไม่เข้ากับลักษณะสังคมไทย
      3. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
      วัยรุ่นควรคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล และเปิดใจให้กว้าง ปรับเปลี่ยนทัศนคติบางประการที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เช่น ผู้ชายมีสิทธิ์ในตัวผู้หญิงการมีเพศสัมพันธ์ในวันเรียนเป็นเรื่องที่แสดงความเก่งของตนความรักคือการยอมให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย เป็นต้น
       4. ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
       ในการสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับผู้อื่นให้ยั่งยืน เราควรมีความรักและความปรารถนาดีให้แก่กันเสมอ เนื่องจากความรักและความปรารถนาดีนั้น ย่อมส่งผลให้เราแสดงออกแก่กันในทางที่ดี และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดพลั้งหรือไม่สามารถทำได้อย่างที่คาดหวัง ก็ควรให้อภัยแก่กันและกัน
       5.  ทักษะการแก้ไขปัญหา
       หากเกิดความขัดแย้งขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ควรปล่อยให้ความขัดแย้งนั้นดำรงอยู่นาน หรือปล่อยเลยตามเลย และหวังให้เวลาเยียวยาความขัดแย้ง แต่ควรจะหันหน้าเข้าหากัน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
       6. ทักษะการจัดการกับอารมณ์
       ต้องรู้จักปล่อยวางหากเพศตรงข้ามเราต้องติดต่อสัมพันธ์ด้วยมีพฤติกรรม หรืออุปนิสัยที่เราไม่สามารถยอมรับได้ ก็พยายามมองข้ามและปล่อยวาง ไม่ควรเก็บเอาอุปนิสัยหรือพฤติกรรมนั้นมาเป็นสาเหตุของความไม่พอใจซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งได้
        7. ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
        หันหน้าเข้าหากัน และพยายามพูดคุยกันโดยใช้เหตุผล พยายามหาสาเหตุของความขัดแย้งนั้นว่าเกิดจากอะไร มีความเข้าใจผิดอะไรหรือไม่ พูดคุยถึงความต้องการ ความคาดหวังและความรู้สึกที่แท้จริงของแต่ละฝ่าย
         8. ทักษะการคิดสร้างสรรค์
         พยายามคิดในเชิงสร้างสรรค์ มองว่าทุกปัญหาความขัดแย้งทุกความขัดแย้งย่อมมีทางออก ช่วยกันมองหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ

ที่มา:https://sites.google.com/site/m6healtheducation/sara-kar-reiyn-ru/naewthang-kar-pxngkan-laea-kar-kaekhi-khwam-khad-yaeng-ni-reuxng-phes
https://sites.google.com/site/m6healtheducation/sara-kar-reiyn-ru/khwam-khad-yaeng-rahwang-phes
http://mwits24room9-pe.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น